การทำ Water Fasting คือการลดน้ำหนักแบบ IF รูปแบบหนึ่งที่กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มของคนรักสุขภาพ และผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก เพราะการทำ Water Detox ด้วยการดื่มเฉพาะน้ำเปล่าเพียงอย่างเดียว สามารถช่วยลดน้ำหนักได้อย่างรวดเร็ว เป็นวิธีช่วยลดพุง สำหรับคนไม่มีเวลา ที่ทำได้ง่ายและไม่ต้องออกกำลังกาย Water Detox คืออะไร? สามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่ ข้อควรระวังในการทำฟาสติ้ง 3 วันคืออะไรบ้าง บทความนี้มีคำตอบ 

การทำ Water fasting คืออะไร

การทำ Water Fasting คือ การลดน้ำหนักด้วยการทำ IF (Intermittent Fasting) อีกรูปแบบหนึ่ง โดยการทำ Water Fasting จะเป็นการอดอาหารทุกชนิดที่ให้พลังงาน และดื่มได้เฉพาะน้ำเปล่าหรือน้ำแร่ เป็นเวลาต่อเนื่อง 24-72 ชั่วโมง ซึ่งวัตถุประสงค์หลักของการทำ Water Detox คือ ช่วยลดน้ำหนักส่วนเกินลงอย่างรวดเร็วในระยะเวลาสั้น ๆ ตลอดไปจนถึงช่วยดีท็อกซ์ของเสียออกจากร่างกาย ปรับสมดุลสร้างสุขภาพให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น

ประโยชน์ของการทำ Water fasting

การทำ Water Fasting ด้วยการอดอาหารทุกชนิดและดื่มแค่เพียงน้ำเปล่าในช่วงระยะเวลาหนึ่ง (24-72 ชั่วโมง) เป็นอีกหนึ่งวิธีการดูแลสุขภาพที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ดังนี้

ช่วยลดความดัน

การทำ Water Fasting มีส่วนช่วยควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ โดยนักวิจัยได้ทำการทดลองให้กลุ่มผู้ที่มีภาวะน้ำหนักตัวเกินและมีภาวะความดันโลหิตสูง จำนวน 48 คน ทำ Water Fasting เป็นระยะเวลาต่อเนื่อง 17 วัน และ 8 วัน (ภายใต้การดูแลของแพทย์) พบว่าระดับความดันโลหิตของกลุ่มผู้ทดลองกลับมาอยู่ในระดับปกติ นอกจากนี้ยังช่วยลดปริมาณไขมันตัวร้าย (LDL) คอเลสเตอรอล และลดอาการอักเสบที่เกิดขึ้นในร่างกายอีกด้วย

ช่วยล้างสารพิษในร่างกาย

จากผลการศึกษาพบว่าการอดอาหารมีส่วนช่วยกระตุ้นการหลั่งเอนไซม์ที่มีส่วนช่วยในการดีท็อกซ์และขับของเสียออกจากร่างกาย ช่วยล้างพิษในตับ ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญที่ช่วยกรองและกำจัดของเสียออกจากร่างกาย

ช่วยกระตุ้นการตอบสนองต่อฮอร์โมนแล็ปติน (Leptin) และฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin)

ผลการวิจัยพบว่าการทำ Water Detox มีส่วนช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินและฮอร์โมนแล็ปตินได้ไวขึ้น โดยฮอร์โมนอินซูลินจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติ ควบคุมสมดุลการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมันในร่างกาย ส่วนฮอร์โมนแล็ปติน เป็นฮอร์โมนของความอิ่ม ช่วยส่งสัญญาณไปบอกเซลล์สมองว่าร่างกายได้รับพลังงานอย่างเพียงพอแล้ว ส่งผลดีต่อการลดน้ำหนักและการลดไขมันส่วนเกิน

ช่วยให้เกิดกระบวนการ Authophagy กระบวนการฟื้นฟูของเซลล์ ด้วยการกลืนกินเซลล์เก่าที่เสื่อมสภาพ และสร้างเซลล์ใหม่ในร่างกาย

มีผลการศึกษาหลายฉบับพบว่าการทำ Water Fasting หรือ Water Detox มีส่วนกระตุ้นให้เกิดกระบวนการ Authophagy หรือกลไกการกลืนกินตัวเองของเซลล์ โดยจะเกิดการย่อยสลายเซลล์ที่เสื่อมสภาพหรือมีความผิดปกติ แล้วสร้างเซลล์ใหม่ที่มีคุณภาพดีขึ้นมาทดแทน ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคพาร์กินสัน ฯลฯ และช่วยทำให้มีอายุที่ยืนยาวมากขึ้น 

ข้อควรระวังในการทำ Water fasting

  • การทำ Water Detox หรือ Water Fasting ด้วยการอดอาหารเป็นเวลานาน อาจทำให้ร่างกายสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ ทำให้ระบบเผาผลาญลดต่ำลง 
  • อาจเกิดภาวะขาดน้ำ โดยเฉพาะคนที่เพิ่งเริ่มทำ Water Fasting ที่ดื่มน้ำน้อยเกินไป ทำให้ร่างกายมีอาการขาดน้ำ ทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ เหนื่อยง่าย หายใจถี่ และความดันโลหิตต่ำ
  • การทำ Water Fasting จนทำให้น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว อาจส่งผลให้ความดันโลหิตต่ำลง เกิดอาการอ่อนเพลีย หมดแรง และมีอาการหน้ามืดได้ง่าย ผู้ที่ทำ Water Fasting 3 วัน ควรหลีกเลี่ยงงานที่ต้องใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ อุปกรณ์หรือของมีคม รวมถึงหลีกเลี่ยงการขับรถ เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ

ผู้ที่ไม่ควรทำ Water fasting

การทำ Water Fasting 3 วัน หรือ Water Detox เป็นวิธีการลดน้ำหนักและฟื้นฟูร่างกายด้วยการอดอาหารเป็นเวลาต่อเนื่องหลายชั่วโมง จึงไม่เหมาะกับผู้ที่มีสภาวะและปัญหาสุขภาพเหล่านี้

  • เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ที่อยู่ในช่วงเจริญเติบโต
  • ผู้สูงอายุ เพราะอาจเสี่ยงทำให้เกิดภาวะขาดสารอาหาร 
  • ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ หรืออยู่ในระหว่างการให้นมบุตร
  • ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว เช่น ผู้ป่วยโรคเกาต์ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง เพราะการทำอดอาหารเป็นเวลานานจากการทำ Water Detox จะกระตุ้นอาการของโรคให้รุนแรงขึ้นได้
  • ผู้ป่วยโรคพฤติกรรมการกินอาหารที่ผิดปกติ เช่น โรคกินไม่หยุด (Binge Eating Disorder:BED โรคบูลิเมีย  (Bulimia Nervosa) หรือโรคอะนอเร็กเซีย (Anorexia Nervosa)

การทำ Water fasting มีกี่แบบและเหมาะกับใคร

การทำ Water Fasting สามารถเลือกอดอาหารและดื่มแค่น้ำเปล่าเป็นเวลาต่อเนื่องตั้งแต่ 24-72 ชั่วโมง โดยผู้ทำสามารถเลือกระยะเวลาที่ต้องอดอาหารได้ตามความสะดวก โดยดารทำ Water Detox เหมาะกับกลุ่มบุคคลเหล่านี้

  • ผู้ที่ต้องการดีท็อกซ์ ขับสารพิษออกจากร่างกาย 
  • ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักตัวลงอย่างเร่งด่วน ในช่วงเวลาสั้น ๆ 
  • ผู้ที่ต้องอดอาหารเพื่อเข้ารับการรักษาทางการแพทย์
  • ผู้ที่ต้องอดอาหารเพื่อเหตุผลทางด้านจิตใจ หรือตามหลักศาสนา

ทั้งนี้ผู้ที่จะทำ Water Detox หรือ Water Fasting จะต้องเป็นผู้ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์ ไม่มีโรคประจำตัวอื่น ๆ ที่เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน ในกรณีที่ต้องการทำ Water Fasting มากกว่า 3 วัน จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

วิธีการทำ Water fasting พร้อมตารางการดื่มน้ำ

หลักการสำคัญของการทำ Water Fasting คือ การอดอาหารทุกชนิดที่มีพลังงานและดื่มแค่น้ำเปล่าเท่านั้น และจะต้องดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 2-3 ลิตร ซึ่งตารางการดื่มน้ำในช่วงการทำ Water Detox นั้นไม่ตายตัว ผู้ทำ Water Fasting สามารถดื่มน้ำเปล่าได้ตลอดเวลาที่ต้องการ โดยควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำครั้งละมาก ๆ เพื่อป้องกันอาการจุกเสียด แน่นท้อง และดื่มน้ำให้น้อยลงในช่วง 2-3 ชั่วโมงก่อนเข้านอน เพื่อลดปัญหาการปวดปัสสาวะบ่อย ๆ ตอนกลางคืน

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการทำ Water fasting

Water Fasting กินกาแฟดำได้ไหม?

ในช่วงระหว่างการทำ water detox หรือ water fasting 3 วัน (24-72 ชั่วโมง) ไม่แนะนำให้ดื่มกาแฟดำหรือเครื่องดื่มชนิดอื่น ๆ ควรดื่มน้ำเปล่าหรือน้ำแร่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

Water fasting ควรทำกี่วัน?

เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีหลักการหรือข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่มากพอ เกี่ยวกับระยะเวลาและความถี่ที่เหมาะสมที่สุดของการทำ Water Fasting ทั้งนี้ข้อมูลส่วนใหญ่ต่างแนะนำว่าเราควรทำ Watetr Fasting ในระยะเวลา 1-3 วัน เท่านั้น (ประมาณ 24-72 ชั่วโมง) เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบอื่น ๆ ต่อสุขภาพจากการทำ water detox เช่น ความดันโลหิตต่ำมากผิดปกติ โรคกระเพาะอาหาร หรือทำให้เกิดพฤติกรรมการกินอาหารที่ผิดปกติ เป็นต้น 

ในกรณีที่จำเป็นต้องอดอาหารทุกชนิดและดื่มเฉพาะน้ำเปล่าเป็นเวลานานมากกว่า 3 วัน เช่น การอดอาหารตามหลักศาสนา หรือการอดอาหารก่อนเข้ารับการผ่าตัด จะต้องได้รับคำแนะนำและอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น  

Water fasting แล้วน้ำหนักโยโย่หรือไม่?

อาจพูดได้ว่าการทำ Water Fasting เป็นวิธีการลดน้ำหนักที่เสี่ยงทำให้เกิดภาวะโยโย่เอฟเฟกต์ได้ง่าย เพราะในระหว่างที่เราทำ Water Fasting 3 วัน ร่างกายจะเข้าสู่สภาวะขาดสารอาหารและทำให้รู้สึกหิวโหยเป็นอย่างมาก หากควบคุมปริมาณอาหารที่กินหลังการทำ Water Fasting ไม่ดีพอก็อาจทำให้เกิดโยโย่เอฟเฟกต์ และน้ำหนักตัวเพิ่มกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ดังนั้นแล้วควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการทำ Water Detox โดยละเอียด ทั้งการเตรียมตัวก่อนทำ ระหว่างทำ รวมไปจนถึงการวางแผนมื้ออาหารที่ต้องทานหลังทำ Water Fasting 3 วัน อย่างเหมาะสม

Conclusion

การทำ Water Fasting คือ การอดอาหารทุกชนิดและดื่มเฉพาะน้ำเปล่า อย่างต่อเนื่อง 24-72 ชั่วโมง เป็นวิธีที่ช่วยลดน้ำหนักตัวลงได้อย่างรวดเร็ว และมีผลการศึกษาพบว่าช่วยดีท็อกซ์ฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรงจากภายในสู่ภายนอก ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคเรื้อรังและทำให้มีอายุยืนยาวมากยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันยังมีไม่มีข้อมูลที่ระบุอย่างชัดเจนว่าการทำ Water Fasting สามารถทำได้นานกี่ชั่วโมง หรือทำได้บ่อยแค่ไหนโดยที่ไม่ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ จึงควรศึกษาข้อมูลโดยละเอียดทุกครั้งก่อนเริ่มทำ Water Fasting เพื่อป้องกันอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ในระหว่างการทำ Water Fasting 

สำหรับใครที่ต้องการลดน้ำหนักด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน และปรับระดับโภชนาการให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น แต่ยังไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นจากตรงไหน จะเลือกวิธีใดที่เหมาะสมกับตนเอง คลิกที่นี่ เพื่อให้ทีมผู้เชี่ยวชาญจาก Healthy and Me ช่วยดูแลและปรับโภชนาการเพื่อการลดน้ำหนักที่เหมาะสมยิ่งกว่า ให้คุณมีสุขภาพที่แข็งแรง มีหุ่นในฝันได้ไวยิ่งขึ้น

ติดตามทริกลดหุ่นหลากหลายแบบ เหมาะกับทุกสไตล์ในแบบชิล ๆ เพียงแอดไลน์ @healthyandme https://lin.ee/VQ4Qx18

References 

Recommended Posts

โค้ชสุขภาพ ผู้ช่วยลดน้ำหนักและดูแลสุขภาพเพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งกว่า

โค้ชสุขภาพ (Health Coach) ผู้ช่วยดูแลการลดน้ำหนักและปรับเปลี่ยนสุขภาพให้กลายเป็นเรื่องที่ง่ายและเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจที่ดี หากคุณเป็นอีกคนที่กำลังพยายามลดน้ำหนัก […]

กินยาลดความอ้วนแล้วโยโย่ จริงไหม? เกิดจากอะไร พร้อมวิธีแก้โยโย่หลังการใช้ยาลดความอ้วน

ลดน้ำหนักด้วยการใช้ยา กินยาลดความอ้วนแล้วโยโย่เป็นอีกหนึ่งวงจรการลดน้ำหนักแบบไม่รู้จบที่พบได้ค่อนข้างบ่อย หลายคนอาจเริ่มลดน้ำหนักและดูแลสุขภาพด้วยการควบคุมอาหารควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย แต่ในทางกลับกันมีคนจำนวนไม่น้อยที่เลือกทางลัดและลดน้ำหนักด้วยการใช้ยาลดความอ้วนเพื่อลดน้ำหนักตัวลงอย่างรวดเร็วจนในท้ายที่สุดก็พบกับภาวะโยโย่เอฟเฟกต์เมื่อหยุดใช้ยา น้ำหนักพุ่งกลับมาแบบไม่ทันตั้งตัวพร้อมสารพัดความเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆ […]